สงครามมหาเอเชียบูรพา 1

มีการยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า สงครามมหาเอเชียบูรพา เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 หรือ 8 ธันวาคม 1941 เมื่อญี่ปุ่นบุกครองประเทศไทยและโจมตีอาณานิคมของบริติช ได้แก่ มาลายา สิงคโปร์และฮ่องกง ตลอดจนฐานทัพสหรัฐในหมู่เกาะฮาวาย หมู่เกาะเวก เกาะกวมและฟิลิปปินส์ ทว่า สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองระหว่างจักรวรรดิญี่ปุ่นและสาธารณรัฐจีนมีมาต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 1937 โดยมีความเป็นปรปักษ์ย้อนหลังไปถึงวันที่ 19 กันยายน 1931 เมื่อประเทศญี่ปุ่นบุกครองแมนจูเรีย

ความเป็นมาของ สงครามมหาเอเชียบูรพา

แรกเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2482 ประเทศที่เข้าร่วมสงครามจำกัดอยู่เพียงกลุ่มประเทศตะวันตกคือ เยอรมัน อังกฤษและฝรั่งเศสเป็นหลัก ในขณะที่ทางฝั่งเอเชียก็เกิดสงครามระหว่างจีนและญี่ปุ่นที่สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งในดินแดนตอนใต้ของแมนจูเรียตั้งแต่ พ.ศ. 2474 สงครามที่เกิดขึ้นในสองทวีปนี้ได้เชื่อมโยงเป็นกระบวนการเดียวกันอย่างหลวมๆ และขยายวงมาถึงดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายหลังจากฝรั่งเศสยอมแพ้แก่เยอรมันในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2483

ความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสต่อเยอรมันทำให้เกิดภาวะสูญญากาศทางการเมืองขึ้นในอาณานิคมของฝรั่งเศสหรือที่เรียกว่าดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศส (ประเทศเวียดนาม ลาวและกัมพูชาในปัจจุบัน) ภาวะดังกล่าวได้กลายเป็นโอกาสให้ญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงกิจการในดินแดนนี้ด้วยการขอให้รัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศสปิดแนวชายแดนที่ติดต่อกับจีน เพื่อป้องกันการส่งกำลังช่วยเหลือให้กับรัฐบาลนายพลเจียงไคเช็กที่จุงกิง ซึ่งกำลังทำสะครามยืดเยื้อกับญี่ปุ่นอยู่ และในเดือนกันยายนได้ทำสัญญายินยอมให้ญี่ปุ่นตั้งกองทหารในอินโดจีนได้ จากความพยายามขยายอำนาจของญี่ปุ่นในเอเชียนับตั้งแต่จีนมาจนถึงอินโดจีนฝรั่งเศส ทำให้อังกฤษ ดัชต์และสหรัฐอเมริกา ประเทศเจ้าอาณานิมคมตัดสินใจดำเนินมาตรการปิดล้อมทางเศรษฐกิจต่อญี่ปุ่น เพื่อกดดันให้ญี่ปุ่นให้ยุติสงครามกับจีนและถอนกำลังทหารออกจากอินโดจีนของฝรั่งเศส

ญี่ปุ่นตัดสินใจตอบโต้การปิดล้อมทางเศรษฐกิจด้วยการส่งกองกำลังเข้าโจมตีดินแดนอาณานิคมทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เริ่มจากคาบสมุทรมาเลย์ โดยยกพลขึ้นบกตามแนวชายฝั่งอ่าวไทยเช่นที่ปัตตานี สงขลา บางปู พร้อมกับส่งทหารโจมตีมณฑลกวางตุ้งและเกาะฮ่องกงของอังกฤษ ส่งเครื่องบินโจมตีฟิลิปปินส์อาณานิคมของสหรัฐอเมริกา ฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล สองวันหลังจากเปิดแนวรบไปทั่วมหาสมุทรแปซิฟิค รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้บัญญัติชื่อเรียกสงครามครั้งนี้ว่า “Greater East Asia War” ซึ่งสถานการณ์สงครามที่ขยายตัวและเชื่อมโยงกันอย่างหลวมๆ นี้กลายเป็นที่มาของคำเรียกสงครามโดยรวมว่า “สงครามโลกครั้งที่ 2”

สำหรับแนวคิดการสร้าง “มหาเอเชียบูรพา” อันเป็นที่มาของชื่อสงครามนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้พัฒนามาจากการประกาศจัด “ระเบียบใหม่ในเอเชียตะวันออก” ด้วยการรวมญี่ปุ่น จีนและแมนจูกัว เข้าเป็นหน่วยเดียวกันในทางเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม ต่อมานโยบายดังกล่าวได้พัฒนามาเป็นแนวคิด “วงไพบูลย์ร่วมกันแห่งมหาเอเชียบูรพา” (Greater East Asia Co-Prosperity Sphere) ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่ญี่ปุ่นใช้ในการทำสงคราม โดยระบุจุดประสงค์ว่าเพื่อสร้างสันติภาพและความมั่นคงขึ้นในเอเชียตะวันออกและป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์จากแองโกล-อเมริกา มีเป้าหมายในทางปฏิบัติคือ การสร้างเขตพึ่งพาตนเองในทางเศรษฐกิจ เนื่องจากญี่ปุ่นมองว่าขั้นตอนแรกของการปลดปล่อยเอเชียจากจักรวรรดิตะวันตก คือ การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อลดการพึ่งพาตะวันตก โดยแบ่งพื้นที่ในวงไพบูลย์ออกเป็น 2 ส่วนคือ วงไพบูลย์ด้านใน ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน แมนจูกัว และวงไพบูลย์ด้านนอก คือ ดินแดนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค

สำหรับประเทศไทย เมื่อรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ตกลงเข้าร่วมกับญี่ปุ่นในการทำสงครามเมื่อต้นปี พ.ศ. 2484 จึงได้ถอดเอาความหมายของ “Greater East Asia War” เป็นคำว่า “สงครามมหาเอเชียบูรพา” ช่วงระยะเวลาสี่ปีในระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพานับเป็นช่วงเวลาพิเศษของประวัติศาสตร์การเมืองไทย เนื่องจากการเมืองภายในได้ถูกผูกโยงเข้ากับสถานการณ์ระหว่างประเทศอย่างซับซ้อน ผลกระทบจากการเข้าร่วมสงครามต่อการเมืองไทย มีทั้งผลในทางตรงและทางอ้อมที่สืบเนื่องต่อมาในระยะยาวและผลกระทบเพียงระยะสั้นๆ เฉพาะในช่วงเวลาดังกล่าว

สถานการณ์ทางการเมืองของไทยก่อนเกิดสงคราม

สภาวะทางการเมืองภายในของสยามช่วงก่อนเกิดสงครามนั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ ในระยะเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบรัฐธรรมนูญ โดยอาจแบ่งช่วงเวลาทางการเมืองออกได้เป็นสองช่วงหลัก คือ ภายหลังเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 และภายหลังจากพันเอกหลวงพิบูลสงครามขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปลาย พ.ศ.2481

ความขัดแย้งทางการเมืองช่วงหกปีแรกภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มทางการเมืองที่มีบทบาทหลัก 4 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้นำใหม่หรือคณะราษฎร กลุ่มขุนนางเก่า กลุ่มนิยมเจ้าและกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความขัดแย้งที่ว่าสะท้อนให้เห็นได้จากเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญ เช่น การเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ การรัฐประหารรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาภายใต้การนำของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาและพันเอกหลวงพิบูลสงคราม เหตุการณ์กบฏบวรเดช การสละราชย์สมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยแกนหลักของความขัดแย้งเหล่านี้อยู่ที่การต่อรองอำนาจเพื่อรักษาสถานภาพระหว่างผู้นำในระบอบใหม่และผู้นำในระบอบเก่า

จนเมื่อพันเอกหลวงพิบูลสงครามขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปลายปี พ.ศ.2481 ได้แก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ที่ทำให้รัฐบาลก่อนหน้านี้ขาดเสถียรภาพด้วยมาตรการที่แข็งกร้าว ด้วยการตั้งศาลพิเศษเพื่อกวาดล้างบุคคลที่ต่อต้านรัฐบาล ในขณะเดียวกันก็ใช้นโยบายชาตินิยมทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม เพื่อสร้างความรู้สึกร่วมให้กับประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองเพื่อสร้างการสนับสนุนอำนาจนำของรัฐบาล

บริบททางการเมืองภายในเช่นนี้เองที่สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศได้เข้ามามีอิทธิพลทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทยในช่วงก่อนเกิดสงครามและมีผลสืบเนื่องต่อไปภายหลังเกิดสงคราม การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศในช่วงก่อนและระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพาที่สำคัญอย่างน้อย 2 เหตุการณ์ คือ การเรียกร้องดินแดนจากอินโดจีนฝรั่งเศสและการสร้างกระแสชาตินิยมไทยที่กดดันชาวจีน

สงครามมหาเอเชียบูรพา 2

สำหรับการเรียกร้องดินแดนจากอินโดจีนฝรั่งเศสเป็นประเด็นที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ. 2480-2481 เมื่อหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นได้เจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับประเทศจักรวรรดินิยม 15 ประเทศและได้ขอปรับปรุงแนวพรมแดนที่ติดต่อกับอาณานิคมของตะวันตก โดยเริ่มจากการเจรจากับอังกฤษและตามด้วยอินโดจีนฝรั่งเศส จนเมื่อพันเอกหลวงพิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและได้นำเอาแนวคิดชาตินิยมมาใช้ การเคลื่อนไหวจึงไม่ยุติเพียงแค่การแก้ไขสนธิสัญญา แต่ได้ขยายวงไปเป็นการเรียกร้องดินแดน เหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนแนวคิดชาตินิยมเพื่อการขยายดินแดนคือ การออกรัฐนิยมเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2482 เพื่อให้คำว่า “ไทย” ครอบคลุมเอากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือเขตแดนรัฐไทยขณะนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายดังกล่าวสัมพันธ์กับบริบทการเมืองระหว่างประเทศในช่วงก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพาอย่างซับซ้อน กล่าวคือ ในช่วงที่ไทยกำลังขอปรับปรุงแนวพรมแดนอยู่นั้น ในทวีปยุโรปสงครามได้ขยายตัว จนเมื่อฝรั่งเศสมีท่าทีจะพ่ายแพ้ รัฐบาลไทยจึงเรียกร้องขอไชยบุรีและจำปาศักดิ์รวมทั้งข้อตกลงว่าหากมีการเปลี่ยนโอนอธิปไตยในอินโดจีนฝรั่งเศสก็ขอให้ลาวและกัมพูชาตกเป็นของไทยเพิ่มเติมจากการขอปรับปรุงพรมแดนในตอนแรก

จนเมื่อฝรั่งเศสยอมแพ้แก่เยอรมันในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2483 ทำให้ดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสเกิดภาวะสูญญากาศทางอำนาจขึ้น ญี่ปุ่นจึงทำความตกลงกับรัฐบาลวิชีของฝรั่งเศส (ภายใต้การยึดครองของเยอรมัน) เพื่อให้กองทหารญี่ปุ่นเข้าไปตั้งฐานในเวียดนามได้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามมองว่าการขยายอำนาจของญี่ปุ่นเข้ามาในอินโดจีนฝรั่งเศสจะกลายเป็นอุปสรรคในการเรียกร้องดินแดนของไทยต่อไป รัฐบาลจึงเปลี่ยนวิธีการเรียกร้องดินแดนจากการเจรจาทางการทูตมาเป็นการใช้กำลังทหาร การปะทะกันระหว่างทหารฝรั่งเศสและไทยเริ่มขึ้นภายหลังจากนายกรัฐมนตรีพลตรีหลวงพิบูลสงครามขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกตำแหน่งหนึ่ง จนกระทั่งเดือนมกราคมรัฐบาลไทยจึงได้ประกาศสถานการณ์สงครามกับอินโดจีนฝรั่งเศส

ปัญหาดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสจบลงภายหลังจากญี่ปุ่นเสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย โดยตกลงหยุดยิงและลงนามพักรบที่ไซ่ง่อนบนเรือรบของญี่ปุ่นและลงนามในอนุสัญญาที่กรุงโตเกียวในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2484 ซึ่งทำให้ไทยได้ดินแดนไชยบุรี จำปาศักดิ์ เสียมราฐและพระตะบอง ความช่วยเหลือของญี่ปุ่นในครั้งนี้ทำให้สัมพันธภาพระหว่างไทยและญี่ปุ่นแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จนกระทั่งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2484 ได้เลื่อนความสัมพันธ์ทางการทูตจากอัครราชทูตขึ้นเป็นเอกอัครราชทูต ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ยกระดับความสัมพันธ์กับไทยให้มีฐานะเท่าเทียมกับประเทศมหาอำนาจ[6] เหตุการณ์นี้นับเป็นก้าวสำคัญของความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างไทยและญี่ปุ่นที่จะนำไปสู่การเป็นพันธมิตรกันในสงครามมหาเอเชียบูรพา

สำหรับการสร้างกระแสชาตินิยมไทยด้วยการกดดันชาวจีนในช่วงก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพาเป็นอีกด้านหนึ่งของนโยบายชาตินิยมนอกเหนือจากนโยบายขยายดินแดนที่กล่าวถึงข้างต้น การดำเนินนโยบายกดดันชาวจีนเริ่มขึ้นภายหลังจากพันเอกหลวงพิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกเช่นกัน โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การลดบทบาทของชาวจีนในเศรษฐกิจไทย เช่น การออกพระราชบัญญัติช่วยอาชีพและวิชาชีพ พ.ศ. 2484 ซึ่งมีการสงวนอาชีพบางอย่างไว้สำหรับผู้ถือสัญชาติไทยเท่านั้น ตลอดจนสนับสนุนให้ชาวไทยมีบทบาทในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นการค้าขายมากขึ้น แต่การสนับสนุนดังกล่าวอยู่ในรูปของการตั้งรัฐวิสาหกิจเพื่อเข้าดำเนินกิจการแทน เช่น การปรับปรุงกิจการของบริษัทข้าวไทย การตั้งบริษัทข้าวสยาม บริษัทไทยนิยมพาณิชย์

การดำเนินนโยบายกดดันชาวจีนดังกล่าวข้างต้นแม้จะมีแรงผลักดันสำคัญ คือ การใช้แนวคิดชาตินิยมเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับรัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม ซึ่งเป็นปัจจัยจากสถานการณ์ภายในของไทยเอง แต่ในขณะนั้นเดียวกันบริบทางการเมืองระหว่างประเทศในช่วงจังหวะที่รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายชาตินิยมดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นปัจจัยจากแรงผลักดันทางการเมืองจากนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองสถานการณ์ดังกล่าวจากบริบทความสัมพันธ์สามเส้าระหว่างไทย จีนและญี่ปุ่น

ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2478-2482 เป็นช่วงที่กระแสชาตินิยมของชาวจีนโพ้นทะเลในไทยก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด อันเนื่องมาจากสงครามระหว่างจีนและญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ชาวจีนจำนวนหนึ่งที่ยังคงมีสำนึกผูกพันกับสถานการณ์ในจีน ได้ดำเนินการต่อต้านญี่ปุ่นด้วยการบอยคอตญี่ปุ่น

ดังนั้นการดำเนินนโยบายกดดันชาวจีนของรัฐบาลหลวงพิบูลสงครามจึงทำให้ชาวจีนมองว่ารัฐบาลเริ่มดำเนินนโยบายไม่เป็นกลาง และเห็นว่ารัฐบาลร่วมมือกับญี่ปุ่น ตลอดจนนายพลเจียงไคเช็กประธานคณะมนตรีป้องกันชาติอันสูงสุดของจีนได้ส่งโทรเลขมายังจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพื่อให้รัฐบาลไทยลดมาตรการที่กดดันต่อชาวจีนที่อยู่ในไทย

การเข้าร่วมกับญี่ปุ่นในสงครามหาเอเชียบูรพากับการเมืองไทย

เมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ภาคใต้ของไทยเมื่อเช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นได้ยื่นเงื่อนไขให้รัฐบาลไทย 4 ข้อ คือ 1)ญี่ปุ่นขอเพียงเดินทัพผ่านไทย 2)ไทยกับญี่ปุ่นทำสัญญาพันธมิตรทางทหารเพื่อป้องกันไทย 3)ไทยกับญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรสงครามร่วมรุกร่วมรบต่อฝ่ายตะวันตก 4)ไทยจะเข้าร่วมในกติกาสัญญาพันธไมตรีกับญี่ปุ่น เยอรมันและอิตาลี ซึ่งทางรัฐบาลไทยได้ตัดสินใจเลือกหนทางแรก คือ ยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่าน แต่หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ตัดสินใจที่จะยกเลิกนโยบายความเป็นกลางในเวทีระหว่างประเทศ และได้ปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ด้วยการปลดรัฐมนตรีบางคนที่มีท่าทีเข้ากับตะวันตกและปรับเอาผู้ที่นิยมในญี่ปุ่นขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน และในท้ายที่สุดก็ได้ตกลงทำกติกาสัญญาพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นเมื่อวัน 21 ธันวาคม พ.ศ.2484 และได้พัฒนาไปสู่การประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในเดือนมกราคม พ.ศ.2485 ซึ่งทำให้ไทยเป็นประเทศพันธมิตรกับญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว

ในระดับผู้นำสำคัญของรัฐบาลในขณะนั้นแบ่งเป็นฝ่ายที่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมกับญี่ปุ่นและกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย แกนนำรัฐบาลคนสำคัญที่สนับสนุนการเข้าร่วมกับญี่ปุ่น เช่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม หลวงวิจิตรวาทการ นายวณิช ปานะนนท์

สำหรับกลุ่มที่คัดค้านและต่อต้านการเข้าร่วมกับญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ และมีการจัดตั้งเป็นขบวนการชัดเจน คือขบวนการเสรีไทย ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มจีนในไทย มีอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน เช่น กองอาสาสมัครต่อต้านญี่ปุ่น ด้วยการออกหนังสือเพื่อเผยแพร่ความสารและชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร แกนนำของกองอาสาสมัครส่วนใหญ่เป็นแรงงานเชื้อสายจีนที่เกิดในไทย พรรคคอมมิวนิสต์ การคัดค้านการเข้าร่วมกับญี่ปุ่นในสงครามปรากฏให้เห็นครั้งแรกเมื่อมีการแจกใบปลิวของ “คณะไทยอิสระ” ขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามและญี่ปุ่น แต่ก็ถูกปราบปราม รวมทั้งมีการจับกุมนักเขียนที่มีแนวคิดต่อต้านญี่ปุ่น เช่น นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ รวมทั้งพ่อค้าคหบดีเชื้อสายจีน

สงครามมหาเอเชียบูรพา ต่อการเมืองไทยภายหลังสงคราม

สถานการณ์การต่อสู้ระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ ในระยะปลายสงคราม ได้คลี่คลายเข้าสู่บริบทใหม่ภายหลังญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามเมื่อวันที่ พ.ศ. 2488 ผู้นำรัฐบาลชุดจอมพล ป. พิบูลสงคราม เช่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกตั้งข้อหาอาชญากรสงคราม

นอกจากนั้นภายหลังญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงคราม บุคคลสำคัญทางการเมืองหลายคนได้เสียชีวิต เช่น นายวณิช ปานะนนท์ นายหวั่งหลี เฮียกวงเอี่ยม การเสียชีวิตของบุคคลเหล่านี้ แม้ไม่มีการสืบสวนจนทราบสาเหตุอย่างชัดเจน แต่เชื่อกันว่าเชื่อมโยงกับการพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงคราม

การยุติของสงคราม

สงครามได้ยุติลงเมื่อสหรัฐอเมริกาส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดปรมาณู ที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ในวันที่ 14 สิงหาคม 2488 สมเด็จพระจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต มีพระบรมราชโองการให้กองทัพญี่ปุ่นยุติการรบทุกสมรภูมิ จากนั้นในวันที่ 16 สิงหาคม 2488 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลมีพระบรมราชโองการว่า การประกาศสงครามของรัฐบาลไทยต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกานั้นเป็นโมฆะ เพราะเป็นการกระทำผิดความจำนงของประชาชนชาวไทย และฝ่าฝืนขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง อีกทั้ง บรรดาดินแดนที่ญี่ปุ่นมอบให้ดูแล คือ รัฐกลันตัน ตรังกานู ปะลิสและไทยบุรีนั้น ประเทศไทยก็ไม่มีความประสงค์จะได้ไว้ ต่อมารัฐบาลอังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้ออกประกาศรับรองประกาศสันติภาพของรัฐบาลไทย


ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
Martina Navratilova ทวีตว่าเธอ ‘หายดีแล้ว’ จากโรคมะเร็ง
อาหารขยะคืออะไรและมีอะไรบ้าง
ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่ามีเทพเจ้ามากมายในธรรมชาติ
WAX CPU เกิน 100% แก้ปัญหาได้ง่ายๆด้วย Getwaxcpu.com
ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://schiggysboard.com/
สนับสนุนโดย  ufabet369
ที่มา wiki.kpi.ac.th